เศรษฐกิจของประเทศจีน

เศรษฐกิจของจีนจะร้อนแรงในช่วงครึ่งหลังของปี 2023

ประธานกลุ่มสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด Dr. José Viñals กล่าวว่า "เศรษฐกิจของจีนจะร้อนแรงในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 เนื่องมาจากปัจจัยบวกที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของทางฝั่งซีกโลกตะวันออก (East) ซึ่งจะสวนทางกับทางฝั่งซีโลกตะวันตก (West)"

สำหรับประเทศจีน หลังจากกลับมาเปิดให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอีกครั้ง ประกอบกับการใช้มาตรการ Zero Covid ที่เข้มงวดอยู่หลายปี สิ่งนี้กระตุ้นความเชื่อมั่นในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2023 นี้ โดยมีปัจจัยลบด้านอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะไม้ได้น่ากลัวตามที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้

จากคำกล่าวของ Mr. Mathias Cormann เลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา "การที่ประเทศจีนได้กลับมาเปิดให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้งนั้น ถือว่าเป็นปัจจัยเชิงบวกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมากในแง่ของการจัดการกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง"

ในปี 2022 ที่ผ่านมา ประเทศจีนมีอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการขยายตัวของ GDP ที่มีระดับต่ำสุดเป็นลำดับที่สองนับจากปี 1976 และยังถือว่าเป็นระดับที่ต่ำกว่าระดับเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 5.5% แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางเศรษฐกิจระยะสั้นของประเทศจีนชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้หลังจากการใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid19 ได้สิ้นสุดลง แต่ผลจากการเปิดให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ยังคงสร้างความยากลำบากให้กับประเทศจีนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ Covid19 สูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

Dr. José Viñals แนะนำว่า "การรับรู้ต้นทุนมนุษย์ผ่านอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นนั้น ผลที่ได้ตามมาคือการเกิดภูมิคุ้มกันในวงกว้าง" นอกจากนี้นักวิเคราะห์บางส่วนยังให้คำแนะนำว่า "ภูมิคุ้มกันในวงกว้างที่กำลังเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเปิดพรมแดนของแต่ละประเทศยังเป็นปัจจัยบวกที่สามารถทำให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2023"

Dr. José Viñals ยังกล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ CNBC ที่การประชุมประจำปีของสภาเศรษฐกิจโลก (WEF) ณ เมือง Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า "ในครึ่งหลังของปี 2023 ผมคิดว่าเศรษฐกิจของประเทศจีนจะอยู่ในช่วงที่ร้อนแรงที่สุด และเป็นช่วงที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกประเทศในโลก"

"สำหรับประเทศจีน นี่ไม่ใช่เพียงการกลับมาเปิดการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้งหลังจาก Covid แต่ยังเป็นการกลับมาพร้อมกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้ทำการลดความเข้มงวดของกฎระเบียบและการปราบปรามในบางภาคส่วนเช่น ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT ดังนั้นผมจึงคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยเชิงบวกที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง"

สำหรับการฟื้นตัวของตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) Dr. José Viñals ยังแนะนำว่า "ปัจจัยทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกและช่วงครึ่งปีหลังจะมีความแตกต่างกัน สำหรับทางฝั่งซีกโลกตะวันออกจะมีปัจจัยบวกที่ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจโดยมีเอเชียและตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคหลักที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกให้เกิดการเติบโตในปี 2023 ซึ่งจะสวนทางกันกับทางฝั่งซีกโลกตะวันตกที่ไม่มีปัจจัยบวกใดๆ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก"

"แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในปี 2022 ที่ผ่านมาก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตลาดเกิดใหม่สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากการใช้นโยบายการเงินตึงตัวจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรุนแรงและการแข็งค่าของเงิน US Dollar"

Dr. José Viñals ยังกล่าวอีกว่า "การปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ช่วยป้องกันปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่จะทำให้ตลาดเกิดใหม่ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ในอีกหลายปีข้างหน้า"

"ไม่ใช่ทั้งหมดของตลาดเกิดใหม่ที่จะมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจที่เหมือนกัน แต่ละตลาดเกิดใหม่จะมีความเสี่ยงและจะได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันออกไปจากการแข็งค่าของเงิน US Dollar และจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ซึ่งเห็นได้ว่า ตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับผลกระทบทางลบอย่างรุนแรงต่อปัจจัยดังกล่าวข้างต้นคือ ตลาดเกิดใหม่ที่มีหนี้สกุลเงินต่างประเทศสูง" 

"ประเทศที่มีรายได้น้อยและประเทศที่มีรายได้ปานกลางกำลังจะต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างแน่นอน ซึ่งตรงกันข้ามกับตลาดเกิดใหม่ที่สถานการณ์กำลังเป็นไปได้ด้วยดี"

Dr. José Viñals ชี้ให้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอินเดียและบางประเทศทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประสบปัญหาจากผลกระทบของ "Taper tantrum" ในปี 2013 ที่มีสาเหตุมาจากนักลงทุนทำการเทขายพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ชะลอและหยุดการซื้อพันธบัตร ซึ่งส่งผลให้ราคาพันธบัตรตกลงอย่างรวดเร็วสวนทางกันกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Yield) ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างทันทีทันใด

"ผมคิดว่าการปรับปรุงพื้นฐานของตลาดเกิดใหม่ การบริหารจัดการด้านทุนสำรองส่วนที่เป็นเงินตราต่างประเทศ การปรับปรุงนโยบายด้านเศรษฐกิจและธรรมาภิบาลให้ดีขึ้น เหล่านี้ที่กล่าวมาจะช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและรักษาความเชื่อมั่นให้คงอยู่กับตลาดเกิดใหม่ต่อไป" Dr. José Viñals กล่าว


เรียบเรียงโดย: LivingOnTheEgg
ติดต่อ: Facebook
ที่มา: CNBC

Comments