เศรษฐกิจของจีนจะร้อนแรงในช่
ประธานกลุ่มสแตนดาร์ดชาร์
จากคำกล่าวของ Mr. Mathias Cormann เลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพั
ในปี 2022 ที่ผ่านมา ประเทศจีนมีอัตราการขยายตั วของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการขยายตั วของ GDP ที่มีระดับต่ำสุดเป็นลำดับที่ สองนับจากปี 1976 และยังถือว่าเป็นระดับที่ต่ำกว่ าระดับเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ ตั้งเป้าไว้ประมาณ 5.5% แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางเศรษฐกิจระยะสั้ นของประเทศจีนชี้ให้เห็นว่ า เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้หลังจากการใช้มาตรการป้องกั นการแพร่ระบาดของ Covid19 ได้สิ้นสุดลง แต่ผลจากการเปิดให้มีการดำเนิ นกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ยังคงสร้ างความยากลำบากให้กับประเทศจีนอยู่ไม่ น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีจำนวนผู้ติดเชื้ อและผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ Covid19 สูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสั ปดาห์ที่ผ่านมา
Dr. José Viñals แนะนำว่า "การรับรู้ต้นทุนมนุษย์ผ่านอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นนั้น ผลที่ได้ตามมาคือการเกิดภูมิคุ้มกันในวงกว้าง" นอกจากนี้นักวิเคราะห์บางส่วนยั งให้คำแนะนำว่า "ภูมิคุ้มกันในวงกว้างที่กำลั งเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเปิดพรมแดนของแต่ละประเทศยังเป็นปัจจัยบวกที่สามารถทำให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2023"
"สำหรับประเทศจีน นี่ไม่ใช่เพียงการกลับมาเปิดการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้งหลังจาก Covid แต่ยังเป็นการกลับมาพร้อมกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้ทำการลดความเข้มงวดของกฎระเบียบและการปราบปรามในบางภาคส่วนเช่น ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT ดังนั้นผมจึงคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยเชิงบวกที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง"
สำหรับการฟื้นตัวของตลาดเกิ ดใหม่ (Emerging market) Dr. José Viñals ยังแนะนำว่า "ปัจจัยทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกและช่วงครึ่งปีหลังจะมี ความแตกต่างกัน สำหรับทางฝั่งซีกโลกตะวันออกจะมีปัจจัยบวกที่ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจโดยมีเอเชียและตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคหลักที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกให้เกิดการเติบโตในปี 2023 ซึ่งจะสวนทางกันกับทางฝั่งซีกโลกตะวันตกที่ไม่มีปัจจัยบวกใดๆ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก"
"แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในปี 2022 ที่ผ่านมาก็เป็นการพิสูจน์ให้
Dr. José Viñals ยังกล่าวอีกว่า "การปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ช่วยป้องกันปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่จะทำให้ตลาดเกิดใหม่ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ในอีกหลายปีข้างหน้า"
"ไม่ใช่ทั้งหมดของตลาดเกิดใหม่ที่จะมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจที่เหมือนกัน แต่ละตลาดเกิดใหม่จะมีความเสี่ยงและจะได้รับผลกระทบที่ แตกต่างกันออกไปจากการแข็งค่ าของเงิน US Dollar และจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ซึ่งเห็นได้ว่า ตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับผลกระทบทางลบอย่างรุนแรงต่อปัจจัยดังกล่าวข้างต้นคือ ตลาดเกิดใหม่ที่มีหนี้สกุลเงินต่างประเทศสูง"
"ประเทศที่มีรายได้น้อยและประเทศที่มีรายได้ปานกลางกำลังจะต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างแน่นอน ซึ่งตรงกันข้ามกับตลาดเกิดใหม่ที่สถานการณ์กำลังเป็นไปได้ด้วยดี"
Dr. José Viñals ชี้ให้เห็นสถานการณ์ที่เกิ ดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ งในประเทศอินเดี ยและบางประเทศทางในเอเชียตะวั นออกเฉียงใต้ที่ประสบปั ญหาจากผลกระทบของ "Taper tantrum" ในปี 2013 ที่มีสาเหตุมาจากนักลงทุ นทำการเทขายพันธบัตรรัฐบาลของสหรั ฐอเมริกาในช่วงเวลาที่ธนาคารกลางสหรั ฐอเมริกาได้ชะลอและหยุดการซื้อพันธบัตร ซึ่งส่งผลให้ราคาพันธบัตรตกลงอย่ างรวดเร็วสวนทางกันกับอั ตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Yield) ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างทันทีทันใด
"ผมคิดว่าการปรับปรุงพื้นฐานของตลาดเกิดใหม่ การบริหารจัดการด้านทุนสำรองส่วนที่เป็นเงินตราต่างประเทศ การปรับปรุงนโยบายด้านเศรษฐกิจและธรรมาภิบาลให้ดีขึ้น เหล่านี้ที่กล่าวมาจะช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและรักษาความเชื่อมั่นให้คงอยู่กับตลาดเกิดใหม่ต่อไป" Dr. José Viñals กล่าว
Comments
Post a Comment